เทคนิคการเลี้ยงลูกให้ฉลาด ไม่เกี่ยวกับกรรมพันธุ์ ต้องเลี้ยงยังไงให้ลูกโตมาแล้วเก่ง

9637
แบ่งปัน

หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ เมื่อมีลูก ก็อยากให้ลูกตัวเอง เป็นเด็กดี ฉลาด และเก่งกว่าตัวเอง และเก่งกว่าคนอื่นๆ กันทั้งนั้น หรือจะเรียกได้ว่า ต้องมีทั้ง IQ และ EQ ให้สูงๆ ถึงจะดี แต่ที่มักจะได้ยินกันมาก็คือ ถ้าพ่อแม่ ไม่ฉลาด ไม่เก่ง ลูกก็ยากที่จะเก่ง หรือฉลาดขึ้นมาได้ เด็กที่เกิดมาแล้ว ฉลาด เก่งนั้น ส่วนใหญ่ ก็มาจาก การที่พ่อ แม่ ฉลาด แล้วก็เก่งกันอยู่แล้ว ข้อมูลเหล่านี้ เป็นเพียงการนำทฤษฎีมาผสมผสาน กับการเคาเดา เพราะมันไม่ใช่ความจริงทั้งหมด พ่อแม่ ที่มี IQ ระดับกลางๆ ก็สามารถที่จะมีลูก ที่ฉลาด เป็นอัจฉริยะได้ ซึ่งก็มีให้เห็นกันอยู่มากมาย  วันนี้ แอดมิน ก็มี เทคนิคการเลี้ยงลูกให้ฉลาด มาฝากกัน ถ้าพ่อแม่ ทำตามนี้ ย่อมจะช่วยทำให้ลูก เก่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยไม่ต้องไปหวังพึ่งพันธุ์กรรมเลยค่ะ

เทคนิคการเลี้ยงลูกให้ฉลาด ต้องทำอย่างไรบ้าง?

1. คุณแม่ ต้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ก่อนที่จะเริ่มตั้งครรภ์ อันนี้ ไม่ใช่แค่เพียงสำคัญ เกี่ยวกับ ความฉลาดของลูกเท่านั้นนะคะ แต่มันหมายรวมถึง การลดความเสี่ยง ในทุกๆ ปัญหา ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ในระหว่างตั้งครรภ์ เลยนะคะ และต้องไปฝากครรภ์ ที่โรงพยาบาล รวมทั้งมีโภชาการที่ดีต่อสุขภาพของตัวเอง และทารกในครรภ์ ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าคุณแม่ ทานแต่อาหาร ที่ส่งเสริม และให้ประโยชน์ กับพัฒนาการของทารกในครรภ์ ก็ย่อมทำให้ลูก มีสุขภาพร่างกาย ที่แข็งแรง ตั้งแต่อยู่ในครรภ์แล้วค่ะ

คุณแม่ต้องรู้  ลูกอายุ 5 เดือน เริ่มคืบและคลานแล้ว ตื่นเต้นสุดๆ แม้จะเป็นลูกคนที่ 2 ก็ตาม

2. เมื่อคลอดออกมาแล้ว ก็ต้องมีวิธีการเลี้ยงดู ที่จะเพิ่มความฉลาดให้กับลูกของเรา โดยจะแบ่งการเลี้ยงออกเป็นช่วงๆ ดังนี้

เทคนิคการเลี้ยงลูกให้ฉลาด ไม่เกี่ยวกับกรรมพันธุ์

วัยทารก ตั้งแต่แรกเกิด – 1 ขวบ ในช่วงนี้ คุณพ่อ คุณแม่ ต้องสังเกตและช่วยเหลือเค้าให้ตรงจุด เพราะการสื่อสารในช่วงนี้ของลูก จะทำได้แค่เพียง การร้องไห้เท่านั้น คุณพ่อ คุณแม่ ต้องอ่านให้ออก ฟังให้เข้าใจว่า ที่ร้องไห้ ร้องเพราะอะไร ร้องเพราะหิว หรือ ร้องเพราะเปียกแฉะจากฉี่ แล้วก็ตอบสนองให้ตรงกับความต้องการของเค้า ก็จะช่วยทำให้ลูก มีความมั่นใจ ซึ่งตรงนี้ จะช่วยในเรื่องของ EQ ได้เป็นอย่างมาก ส่วนการพัฒนา IQ จะมุ่งเน้นมาที่ การมองเห็น การได้ยิน และการสัมผัส มากกว่า โดยเฉพาะการโอบกอด รวมทั้งของเล่น ที่ช่วยกระตุ้นประสาทต่างๆ เช่น การมองเห็น และการได้ยิน จะช่วยพัฒนาลูกให้มี IQ ได้สูงมากขึ้น

วัยเตาะแตะ ตั้งแต่อายุ 1 – 3 ขวบ ในวัยนี้แหละค่ะ จะสำคัญที่สุด เพราะในวัยนี้ เค้าสามารถเคลื่อนที่ได้เอง ปีนป่ายได้ และชอบสำรวจสิ่งต่างๆ ดังนั้น ของเล่น จึงต้องมีความซับซ้อนให้มากขึ้น เพราะเค้าอยากรู้ อยากเห็นมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งตรงนี้ จะช่วยในเรื่องของ IQ ให้กับเค้าได้มาก ส่วนเรื่องของ EQ มีความสำคัญมากๆ ในวัยนี้ เนื่องจากในวัยนี้ ลูกจะเริ่มแสดงอารมณ์ออกมาให้เห็นแล้ว ว่ารู้สึกอย่างไร เราต้องทำให้เค้า รู้จักอารมณ์ของตัวเอง และรู้จักควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ซึ่งนอกจากพ่อแม่ จะต้องสอนเค้าแล้ว ตัวคุณพ่อ คุณแม่เอง ก็ต้องทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกอีกด้วย อีกทั้งยังต้องเริ่มทำกิจกรรมต่างๆ ให้เป็นเวลา สอนให้ลูก รู้จักระเบียบวินัย ไม่ตามใจลูกจนเกินไป

คุณแม่ต้องรู้  ลูกท้องเสีย เพราะอะไรกัน ???

วัยเรียน ตั้งแต่อายุ 3 – 10 ปี ในช่วงนี้ ลูกจะไปโรงเรียนแล้ว มีความเก่งมากขึ้น เริ่มคิดเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น ดังนั้น การฝึกเรื่อง IQ ไม่ว่าจะเป็นการเล่น การทำกิจกรรม หรือเกมต่างๆ ก็จำเป็นต้องเอาเรื่องของเหตุผล เข้ามาอธิบายให้เค้าเข้าใจด้วย ส่วนเรื่องของ EQ ลูกจะเริ่มเรียนรู้ การอยู่ภายในสังคม การอยู่กันเป็นกลุ่ม การอยู่ในระเบียบวินัยที่โรงเรียน เมื่อกลับบ้านมา คุณพ่อ คุณแม่ ก็ต้องทำให้เหมือนกับที่โรงเรียน มีระเบียบ มีเวลา ที่จัดกิจกรรมเอาไว้แล้ว อย่าให้ลูกทำอะไรตามใจ ให้ทำทุกอย่างให้เป็นเวลา ไม่ว่าจะเป็น การกิน การทำการบ้าน การเล่น และการนอน ต้องเข้มงวดให้มากๆ นะคะ

นอกจากนี้ การให้กำลังใจ และชื่นชม เมื่อลูกทำได้ดี และการให้กำลังใจ เมื่อลูกท้อแท้ และคอยช่วยคิด หาวิธีแก้ปัญหาให้กับลูกนั้น จะช่วยส่งเสริม ทำให้ลูกมี IQ และ EQ ที่ดีมากขึ้นไปอีก ทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่า ไม่มีเรื่องของ พันธุ์กรรม เข้ามาเกี่ยวข้องเลยใช่มั้ยคะ เป็นเรื่องของการเลี้ยงดูดูก ล้วนๆ เลย ซึ่งก็แปลว่า เด็กทุกคน มีโอกาสที่จะเก่ง มี IQ และ EQ ที่สูงได้เท่ากันหมด ขึ้นอยู่กับ พ่อ แม่ ว่าจะเลี้ยงเค้าแบบไหน มากกว่า สรุปคือ อยู่ที่ตัวของ พ่อ กับ แม่ อย่างเราๆ แล้วนะคะ ที่จะเป็นคนกำหนดว่า อยากให้ลูก มี IQ และ EQ สูงแค่ไหน

คุณแม่ต้องรู้  ให้ของขวัญลูก เมื่อเค้าทำความดี ไม่ใช่ให้เพราะเค้าอยากได้

เทคนิคการเลี้ยงลูกให้ฉลาด ที่แอดมิน นำมาแนะนำกันในวันนี้ ไม่ได้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อที่จะทำให้ลูกของทุกท่าน กลายเป็นอัจฉริยะ แต่ต้องการให้ ลูกของคุณแม่ทุกท่าน มี IQ และ EQ ที่สูง เป็นทั้งเด็กที่มีความเก่ง และดีในคนๆ เดียวกัน อย่าเก่ง แต่เห็นแก่ตัว แบบนี้ใช้ไม่ได้ น้องเนปจูน ก็เหมือนกัน แอดมิน ไม่ได้คาดหวังว่า ลูกจะต้องเรียนเก่ง จนเป็นอัจฉริยะ เพราะนั่น คือการกดดันลูก เพียงแค่ให้เค้า มีสุขกับการเรียน และมีความสุขกับการใช้ชีวิต รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด แค่นี้ก็สุดยอดแล้วค่ะ